แว่นกรองแสงสีฟ้า (Blue Light Blocking Glasses) เป็นแว่นที่ออกแบบมาเพื่อลดปริมาณ แสงสีฟ้า (Blue Light) ที่เข้าสู่ดวงตา ซึ่งแสงสีฟ้านี้เป็นคลื่นแสงพลังงานสูงที่ปล่อยออกมาจากอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต รวมถึงหลอดไฟ LED
แสงสีฟ้ามีความยาวคลื่นสั้น (ประมาณ 400–495 นาโนเมตร) และมีพลังงานสูง เมื่อจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน แสงนี้สามารถทำให้เกิดอาการล้าตา แสบตา หรือแม้กระทั่งรบกวนการนอนหลับได้
ทำไมต้องกรองแสงสีฟ้า
แม้แสงสีฟ้าบางส่วนมีประโยชน์ เช่น ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวในเวลากลางวัน แต่เมื่อได้รับในปริมาณมากหรือในเวลาที่ไม่เหมาะสม (เช่น ตอนกลางคืน) ก็ส่งผลเสียได้ เช่น
- ลดอาการเมื่อยล้าดวงตา (Digital Eye Strain)
การใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนนาน ๆ ทำให้กล้ามเนื้อตาต้องเพ่งมากขึ้น แสงสีฟ้าทำให้โฟกัสภาพยากกว่าแสงสีอื่น จึงเกิดอาการล้าตา ปวดตา หรือแสบตา - ลดความเสี่ยงต่อความเสียหายของจอประสาทตา
งานวิจัยบางส่วนชี้ว่าแสงสีฟ้าในระดับสูงอาจกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระในจอประสาทตา ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration) เมื่ออายุมากขึ้น - ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
แสงสีฟ้าสามารถยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (melatonin) ซึ่งควบคุมวงจรการนอนของร่างกาย การกรองแสงสีฟ้าก่อนนอนจึงช่วยให้ร่างกายรู้เวลาพักผ่อนได้ดีขึ้น - เพิ่มความสบายตาในการใช้งานระยะยาว
สำหรับคนทำงานหน้าจอหรือเล่นเกมนาน ๆ แว่นกรองแสงสีฟ้าช่วยลดการจ้องเพ่ง ทำให้มองจอได้นานโดยไม่ปวดตา
แว่นกรองแสงสีฟ้าทำงานอย่างไร
เลนส์กรองแสงสีฟ้ามักมี สารเคลือบผิว (Coating) ที่สะท้อนหรือดูดซับคลื่นแสงสีฟ้าเฉพาะช่วง ทำให้แสงที่ผ่านเข้าตาเป็นแสงที่มีพลังงานต่ำลง บางรุ่นมีสีเลนส์ออกเหลืองนิด ๆ ซึ่งช่วยกรองแสงได้ดีขึ้น แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้เลนส์ใสและกรองได้โดยไม่เปลี่ยนสีภาพมาก
วิธีเลือกแว่นกรองแสงสีฟ้า
การเลือกแว่นกรองแสงสีฟ้าที่มีคุณภาพควรพิจารณาจากหลายปัจจัยดังนี้
- เปอร์เซ็นต์การกรองแสงสีฟ้า
- แว่นทั่วไปมักกรองได้ประมาณ 20–40%
- แว่นสำหรับงานหน้าจอมืออาชีพหรือเล่นเกมสามารถกรองได้ 50–80%
ควรเลือกตามลักษณะการใช้งาน เช่น ถ้าใช้ตอนกลางคืนควรเลือกที่กรองได้สูงกว่า
- คุณภาพของเลนส์
เลนส์คุณภาพสูงจะมีการเคลือบหลายชั้น เช่น เคลือบกันรอยขีดข่วน เคลือบกันสะท้อน (AR Coating) และเคลือบกันรังสี UV ซึ่งช่วยให้ภาพคมชัดและสบายตากว่า - ค่าสายตา
หากมีปัญหาสายตา เช่น สั้น ยาว หรือเอียง ควรสั่งเลนส์ที่ตัดรวมค่าสายตาพร้อมเคลือบกรองแสงสีฟ้าในเลนส์เดียวกัน ไม่ควรสวมซ้อนกับแว่นเดิม - วัสดุของกรอบแว่น
เลือกกรอบที่น้ำหนักเบาและพอดีกับใบหน้า เพราะต้องใส่ตลอดเวลาทำงาน - ใบรับรองมาตรฐาน
ตรวจสอบว่าเลนส์มีการรับรองจากหน่วยงานหรือผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ เช่น มาตรฐาน CE, ANSI หรือ JIS
แว่นกรองแสงสีฟ้าราคาถูกกับแว่นคุณภาพต่างกันอย่างไร
- ประสิทธิภาพการกรองแสง
แว่นราคาถูกบางรุ่นอาจเพียงแค่เคลือบฟิล์มบาง ๆ ที่ไม่ได้กรองจริง หรือกรองได้น้อยมาก (ต่ำกว่า 15%) ในขณะที่แว่นคุณภาพจะมีการทดสอบและระบุค่าชัดเจน - ความชัดของภาพ
เลนส์ราคาถูกอาจมีการบิดเบือนของแสง ทำให้ภาพไม่คม เกิดอาการเวียนหัวหรือมึนเมื่อต้องใช้ต่อเนื่อง - ความทนทานและการเคลือบผิว
แว่นดี ๆ จะมีการเคลือบหลายชั้น ป้องกันรอยขีดข่วน น้ำ และคราบมันได้ ในขณะที่แว่นราคาถูกมักลอกง่ายและขุ่นเมื่อใช้ไม่นาน - ผลกระทบต่อสีของภาพ
แว่นราคาถูกบางรุ่นอาจทำให้สีของหน้าจอเพี้ยนเกินไป เช่น เหลืองหรือส้มจัด ซึ่งอาจไม่เหมาะกับงานกราฟิกหรืองานที่ต้องใช้ความเที่ยงตรงของสี
เหมาะกับใคร
- คนที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน
- นักเรียน นักศึกษา ที่ใช้แท็บเล็ตหรือสมาร์ตโฟนเป็นประจำ
- เกมเมอร์ที่ต้องใช้สายตาจ้องหน้าจอนาน
- ผู้ที่มีปัญหานอนหลับยากเพราะใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน
- ผู้สูงอายุที่ต้องการลดความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อม
สรุป
แว่นกรองแสงสีฟ้าไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่เป็นอุปกรณ์ดูแลสุขภาพดวงตาที่สำคัญในยุคดิจิทัล ช่วยลดอาการล้าตา เพิ่มความสบายในการมองจอ และส่งเสริมคุณภาพการนอน การเลือกแว่นที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานจะให้ผลลัพธ์แตกต่างจากแว่นราคาถูกอย่างชัดเจน
หากใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานานในแต่ละวัน การลงทุนในแว่นกรองแสงสีฟ้าดี ๆ สักคู่ ถือเป็นการดูแลสายตาระยะยาวที่คุ้มค่า
